วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เมื่อต้องเจอคนขับรถนิสัยไม่ดี (ขับรถกวนส้นตีนว่างั้น) ควรจะต้องทำอย่างไร?

เหตุการณ์บนท้องถนนนั้น เราไม่มีทางรู้ว่าขับรถบนถนนต้องเจอกับอะไรบ้าง บนนั้น อาจมีทั้งคนเมา คนทำงานหนักจนเหนื่อยเพลีย และอื่นๆ อีกมากมาย เรามาดูกันว่า จะต้องจัดการอย่างไร เพื่อความปลอดภัยของเราหากเจอคนขับรถแย่ๆ แบบนี้ แต่ก่อนอื่น ที่คุณไม่ควรทำแน่ๆ ก็คือ การใช้อารมณ์จัดการกับคนที่ขับรถแย่ๆ หรือกระทั่งการใช้ความรุนแรงในการยุติปัญหา ซึ่งเชื่อเถอะ มันไม่คุ้มหรอก

อย่างแรกเลยน้า... สำคัญที่สุด
1.) ใจเย็น มีสติ อย่าไปยุ่งกับมัน อย่าไปร้อนตามมัน
หากมีคนปาดหน้าคุณแบบหน้าเกลียดสุดๆ การเร่งเพื่อแซงกลับ หรือขับจี้ตูด มักจบไม่สวยเสมอ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างแรกคือ ใจเย็นๆ ไว้ก่อน แล้วก็อัดคลิปนิ่งๆไว้อย่าให้มันรู้ยิ่งดี (เผื่อเหตุการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ)

2.) ขับทิ้งระยะห่าง
หากคุณเห็นรถคันข้างๆ ขับปาดคุณ หรือคุยโทรศัพท์ หรือขับเอียงซ้ายเอียงขวา ท่าทางไม่ดี ให้ขับห่างคันนั้นเอาไว้เป็นดีที่สุด ห่างเกิดอะไรขึ้น คุณจะได้ไม่ซวยไปด้วย หรือโดนลูกหลง

3.) รอรถที่ขับช้าที่เลนซ้าย
บางทีคุณขับรถในที่ที่แซงขวาไม่ได้ และคันหน้าคุณก็ช้าซะเหลือเกิน อย่าตบไฟ หรือบีบ พยายามขับเลื่อนมาทางขวานิดๆ ขับระยะประชิดให้เขารู้ตัว แค่นี้ก็พอ

4.) หากรีบจริงๆ สับไฟใส่เพียงแค่ ครั้งพอ
หากรถที่เลนขวาขับช้ามาก ทั้งๆ ที่ควรอยู่เลนที่ขับช้า และทำกี่วิธี ก็ไม่รู้ตัวเสียที วิธีที่ดีที่สุด ให้คุณสับไฟใส่ เพียงแค่สองครั้ง และหยุด เขาจะหลบเอง และคุณก็ขับเลยไป

5.) แก้ปัญหาคนขับจี้ตูดด้วยที่ทำความสะอาดกระจกรถ
เปิดสบู่ที่ทำความสะอาดกระจบหน้ารถแรงๆ ให้พุ่งไปด้านหลัง เพื่อบอกว่า อย่ามาขับจี้ตูดให้มากนัก ใช้วิธีนี้ดีกว่า เบรกเพื่อแกล้งคันหลังนะครับ อันนั้นอันตรายไปนิด

6.) ใครผ่าไฟแดงให้บีบแตร
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะทราบหรือไม่ว่าไฟแดงแล้ว เขาควรจะรู้ว่าที่เขาทำมันผิด และสมควรได้รับโทษ ด้วยการโดนบีบแตรไล่

7.) ออกกำลังกายหลังการขับขี่ที่เต็มไปด้วยความเครียด
หากคุณเก็บความเครียด ความเซงมาเยอะจากการขับขี่รถยนต์ในเมืองใหญ่ เก็บความเครียดนั้นเอาไว้ และมาระบายในการออกกำลังกายจะดีกว่า ดีกว่าไปปล่อยความเครียดแบบจัดเต็มบนท้องถนนนะครับ

8.) หากไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องขึ้นทางด่วน
หากคุณไม่จำเป็น และไม่อยากปวดหัว แถมต้องเสียเงินมาก ก็ไม่ควรขึ้นทางด่วน ขับบนทางธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องขับเร็ว แถมโดนบีบแตรไล่ หรือสับไฟไล่อีกด้วย

9.) วิจารณ์ด้วยการยกนิ้วโป้ง ดีกว่าชูนิ้วกลางให้นะ
หากคุณเห็นรถคันข้างๆ ขับแย่ ทำแย่ๆ ใส่คุณ แทนที่จะชูนิ้วให้ และทำให้อารมณ์ของสองฝ่ายประทุขึ้นมากกว่าเดิม ทำไมไม่ลองเปลี่ยนยกนิ้วโป้งให้ดูล่ะ มันอาจทำให้คนคนนั้นคิดได้เองก็ได้นะ

10.) ให้คิดว่าคนบนท้องถนน ไม่ได้ขับรถดีทุกคน
ข้อนี้เข้ากับข้อที่บอกว่าให้เว้นระยะห่าง ยิ่งหากเราคิดเอาไว้ก่อนว่ารถคันอื่น ก็ไม่ได้ขับรถดี หรือปลอดภัยเท่าไหร่ เราก็จะรักษาระยะห่างออกจากคันอื่นๆ มากเท่านั้น และนั่นจะทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นด้วย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น


การแต่งงาน กับ ประกันภัยรถยนต์ มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

1.ทำให้จ่ายเบี้ยประกันรถยนต์ถูกลง
มีการรายการงานคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ว มีสถิติที่จะเกิดอุบัติเหตุต่ำว่าคนที่ไม่แต่งงาน และนั่นส่งผลต่อการคำนวนความเสี่ยงของบริษัทประกัน และย่อมส่งผลต่อเบี้ยประกันที่อาจทำให้คุณจ่ายเบี้ยประกันถูกลงนั่นเอง ดังนั้น หากคุณพึ่งแต่งงานใหม่ ลองปรึกษาบริษัทประกันของคุณดูว่า ในปีถัดไป คุณจะได้ลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์หรือไม่ ?

2.รวมประกันรถยนต์ก็สามารถทำได้
บริษัทประกันหลายๆ เจ้า จะลดราคาเบี้ยประกันได้ หากมีการรวมประกันรถยนต์เป็นกรมธรรม์เดียวในกรณีของสามีภรรยา ซึ่งหากคุณมีประวัติการขับขี่ดีทั้งคู่ และไม่มีช่วงเว้นว่างของการไม่ทำประกัน คุณสองคน หากเป็นสามีภรรยากันควรติดต่อเพื่อรวมกรมธรรม์เป็นอันเดียว จะลดราคาได้มาก และหากคุณใช้ประกันรถยนต์คนละเจ้ากัน และเลือกไม่ถูกว่าจะเลือกที่ไหนดีเวลารวมกันแล้ว หรืออยากจะเลือกเจ้าใหม่ 

3.เมื่อไหร่ที่ไม่ควรรวมกรมธรรม์เป็นอันเดียว
แม้ว่าการรวมกรมธรรม์จะมีประโยชน์ แต่บางกรณีคุณก็ไม่ควรรวม นั่นก็คือ หากไม่คนใดก็คนหนึ่ง มีประวัติการขับขี่ไม่ดี ชนบ่อย เคลมบ่อย จะทำให้เบี้ยแพงขึ้นอยู่ดี และไม่ช่วยอะไร แยกดีที่สุด นอกจากนี้ เบี้ยประกันของคนที่ไม่ได้มีประวัติขับขี่ไม่ดี ก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะบริษัทประกัน เวลาพิจารณาความเสี่ยง ยังดูไปถึงคนในครอบครัวอีกด้วย ว่ามีประวัติการขับขี่เป็นอย่างไร จึงยังมีความเสี่ยง ที่เบี้ยประกันของคุณจะไม่ได้ถูกลงหลังแต่งงานนั่นเอง  ส่วนอีกกรณีที่ควรแยกกรมธรรม์กันก็คือ หากคู่ของคุณขับรถที่แพงกว่ามากๆ รถที่แพงกว่า ประกันย่อมแพงกว่า
เพราะฉะนั้นการรวมกันก็ไม่ได้ช่วยอะไร 


ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ ควรที่จะทำดีไหม ? ทำแล้วได้อะไร ?

      ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรอะไรๆนั้นก็มีความสะดวกมากและรวดเร็วมากขึ้น แต่อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆนั้นก็สามารถกลับเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นซอกมุมไหนของโลกใบนี้ก็ตาม มีการรายงานของสำนักข่าวที่หนึ่งระบุว่าการเข้ารักษาพยาบาลมากที่สุดเป็นของนักท่องเที่ยว หรือคนที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศ คืออุบัติเหตุ เกิดจากความไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัวและความไม่เข้าใจในภาษา และวัฒนธรรม รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละที่ หรือบางครั้งก็เป็นความผิดของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ เอง ที่คิดว่ามาท่องเที่ยว จึงใช้ชีวิตอย่างประมาท จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ทำให้สูญเสียรายได้จำนวนมหาศาลเนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวไว้และอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาทีหลัง

นั่นหมายถึง “ความเสี่ยง” ที่ควรต้องได้รับการจัดการ และวิธีที่เราสามารถจัดการความเสี่ยงนั้นได้ง่าย และค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ก็คือการทำ “ประกันการเดินทาง” เพื่อคุ้มครองคุณ คนที่คุณรัก และคนในครอบครัว ซึ่งประกันการเดินทาง จะคุ้มครองคุณหากเกิดกรณีฉุกเฉินอย่างอุบัติเหตุ เจ็บป่วย กระเป๋าสตางค์หาย โดนขโมย ทริปยกเลิก เที่ยวบินดีเลย์ สิ่งเหล่านี้ หากคุณไม่มีประกันการเดินทางไปด้วย ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ไม่มีค่าชดใช้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากคุณมีประกันการเดินทางเอาไว้ คุณจะได้รับความคุ้มครองจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าคิดก็คือ คนส่วนมาก เลือกซื้อประกันการเดินทางที่ถูกที่สุดเพื่อลดต้นทุนตนเอง ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่ประกันการเดินทางที่ดีที่สุด โดยคนชอบคิดไปว่า เลือกซื้อประกันการเดินทาง ก็เหมือนการเลือกซื้อประกันรถยนต์ แต่จริงๆ แล้วคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะประกันการเดินทางที่ถูกที่สุด สุดท้ายแล้ว หากเกิดอะไรขึ้น คุณอาจจะไม่ได้รับการคุ้มครอง หรือไม่สามารถชดเชยความเสียหายในสิ่งที่เกิดขึ้นได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น เงินที่คุณประหยัดในตอนซื้อประกัน กลับทำให้คุณต้องเสียเงินมากกว่าในภายหลังเสียอีก นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิดให้ดีกับการไปต่างประเทศ ที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งคุณต้องศึกษาให้ดี มีคำๆนึงที่่น่ากลัวมากผมจะยกตัวอย่างให้ฟังนั่นก็คือ " เราไม่ประมาทแต่เขาประมาท "

นอกจากนี้ หากคุณเป็นคนที่พกของแพงๆ ไปเที่ยวด้วยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับของคุณผู้หญิง หรือเครื่องมือทันสมัยต่างๆ ของคุณผู้ชาย ประกันการเดินทางราคาถูก คงไม่สามารถคุ้มครองของเหล่านี้ได้ หรือหากคุณเป็นคนที่เล่นกิจกรรมผาดโผน อาทิ สกี บันจี้จัมพ์ คุณควรเช็คดีๆ ว่าประกันการเดินทางที่คุณจะซื้อ คุ้มครองกิจกรรมเหล่านี้ด้วยหรือไม่  " และที่สำคัญคือทุกครั้ง คุณต้องอ่านเงื่อนไขให้ดีว่า อะไรคุ้มครองหรือไม่คุ้มครอง ยังไง ไม่ใช่ซื้อไว้อุ่นใจไม่ได้อ่านโดนเป่าหู พอเกิดเรื่องขึ้นมาเคลมไม่ได้ เพราะระบุข้อยกเว้นเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยซะงั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ “ประกันการเดินทาง” ไม่ควรเป็นแค่ทางเลือกหนึ่ง จะทำหรือไม่ก็ได้ แต่ควรเป็นสิ่งที่คุณควรทำ ก่อนไปเที่ยว เพราะมันจะทำให้คุณอุ่นใจตลอดการท่องเที่ยวของคุณ ว่าหากเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อย คุณจะได้ไม่แบกรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว จนทริปหมดสนุก ส่วนประกันการเดินทางของคุณ จะเคลมได้ทุกอย่างครบตามจำนวนที่คุณเคลมหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับทุนประกันที่คุณได้รับนั่นเอง

ผมไม่ได้แช่งใครนะ แต่ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ใครจะรู้ . . . ไม่งั้นหนังสือพิมพ์คงไม่มีข่าวภัยร้ายๆ เกิดขึ้นทุกวันหรอกน้า ฟิ้วววว ~