ทุกคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักกับบริษัทประกันที่เคยตั้งใจคิดอยากจะพึ่งพาในยามเกิดเหตุ ที่ไม่พึงประสงค์กับรถคันโปรด แต่พอถึงเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมา
จริงๆ กลับต้องปวดหัวหนักขึ้นไปอีก เพราะเจอกับการเล่นแง่ของ เจ้าหน้าที่ที่ดูเหมือนเป็นศัตรูฝ่ายตรงข้ามกับเรามากกว่าคู่กรณีที่
เกิดเรื่องกับเราเสียอีก หรือบางครั้งก็อาจจะเจอกับการให้บริการ จากเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งแบบไม่แยแสทั้งๆ
ที่เราร้อนใจจนแทบระเบิด เกิดเหตุตอนสิบโมงเช้า กว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงที่เกิดเหตุก็ปาเข้าไป หลังเที่ยงอย่างนี้มันน่าที่เราจะทำประกันด้วยดีไหมเนี่ย
ปัญหาเหล่านี้ทำให้ผู้ที่มีรถหลายคนตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้ว่าเราควรจะเลือกบริษัท
ประกันไหนดี เวลาที่เราต้องการที่จะทำประกันรถ เพราะฉะนั้นในคอลัมน์นี้จึง อยากจะขอเสนอแนวคิดพร้อมทั้งเกร็ดเล็กๆ
น้อยๆ ที่อยากจะฝากกันเอาไว้ เพื่อใช้ในการเลือกบริษัทประกันที่จะไม่ทำให้เรานั่งนํ้าตาตกเสียใจในภายหลัง
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า การทำประกันโดยเนื้อแท้แล้วก็คือ
การที่คนหลายๆ คน ตกลงเอาเงินมาลงขันกันเพื่อแชร์ความเสี่ยงร่วมกัน โดยมี บริษัทประกันเป็นโต้โผในการรวมเงิน
รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในการ เรียกเก็บเงินที่เราเรียกว่าเบี้ยประกันของแต่ละคนด้วย การเรียกเก็บเบี้ยประกันจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะเป็นอายุของผู้ที่ต้องการจะทำประกัน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการ
พิจารณาของบริษัทประกันที่มีมาตรฐานในการลดค่าธรรมเนียมการเอาประกัน ที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุประเภทของรถเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อัตราค่าธรรมเนียมในการรับประกัน
ต่างกัน โดยทั่วไปในบรรดารถเก๋งหรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคล บริษัทประกันจะจัดแบ่งกลุ่มรถออกเป็นกลุ่มๆแน่นอนว่ารถที่ซ่อมยาก อะไหล่แพง ค่าเบี้ยประกันก็ย่อมจะสูงกว่ารถที่อะไหล่ถูก
ระบบไม่ซับซ้อน แต่ในปัจจุบันหากเกิดคุณไปเลือกใช้รถที่บังเอิญฮอตสุดฮิตในหมู่
นักโจรกรรมรถข้ามประเทศ เช่น รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ พวกซีอาร์วี ค่าเบี้ยประกันก็อาจจะแพงกว่ารถประเภทเดียวกัน
แต่คนละยี่ห้อกันก็ได้ มีหลายบริษัทประกันที่มีข้อเสนอการทำประกันประเภทขับน้อยจ่ายน้อยสำหรับ
ผู้ที่มั่นใจว่าตนเองใช้รถน้อย คุณที่อยากจะประหยัดเงินก็อาจจะขอทำประกันประเภทนี้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันที่ไม่จำเป็น
แต่สำหรับผู้ที่มีอาชีพ บางประเภทเช่น ดารา นักร้อง ที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ประกันประเภทนี้ก็คงใช้
ไม่ได้สัจธรรมข้อหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ในการแข่งขันใน
ตลาดที่มีผู้ประกอบ การหลายเจ้าก็คือ การแข่งขันในเรื่องราคา
ประกันประเภทเดียวกัน อาจจะมีราคาต่างกันในแต่ละบริษัทขึ้นอยู่กับการลองตระเวนหาราคาที่ดีที่สุดของผู้ซื้อเอง
แต่ สำหรับผู้ซื้อรถที่ต้องอาศัยการผ่อนชำระกับไฟแนนซ์ที่จะต้องถูกบังคับให้ทำประกันกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งไปเลย
ก็คงไม่มีโอกาสทำเช่นนี้ได้
เพราะฉะนั้นหากลองมาสรุปดูถึงเหตุผลในการเลือกบริษัทประกันของคนไทย
น่าจะสรุปได้เป็น
1. ถูกกำหนดโดยบริษัทไฟแนนซ์หรือผู้ให้สินเชื่อในการเช่าซื้อ
2. ประกันภัยฟรีที่เป็นแคมเปญควบคู่กับการซื้อรถ
3. เลือกหาที่ชอบเอง
4. เลือกเจรจากับบริษัทที่ให้เงื่อนไขที่ดี สำหรับการเหมารวมทำประกันเป็นล็อต
หรือรถหลายๆ คัน
สำหรับกรณีแรกคงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องยอมรับเงื่อนไข
แต่ถ้าจะให้ดีก็ลองขอดูรายละเอียดการรับประกันของบริษัทนั้นให้ดีว่าสิทธิ์ในการเรียกร้อง ของเรามีได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าไม่เข้าใจก็ถามไม่ต้องเกรงใจกลัวว่าเดี๋ยวเขาจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงขั้นนั้นแล้วเขาไม่ยอมปล่อยให้เรา
หลุดมือไปหรอกครับ กำไรเห็นๆ อย่างงั้น แต่ถ้าจะให้มองโลกในแง่ดี บริษัทประกันที่ผู้ให้สินเชื่อเช่าซื้อเลือกมาให้กับลูกค้าของตนต้องเป็นบริษัทที่ไว้เนื้อเชื่อใจ
ได้พอสมควรเหมือนกัน เพราะในระหว่างที่คุณเช่าซื้อรถยนต์ไปขับ
ก่อนที่จะสิ้นสุดสัญญาเช่าซื้อ รถคันนั้นก็ยังถือว่าเป็นรถของผู้ให้สินเชื่อนั้นด้วยเช่นกัน
สำหรับเงื่อนไขที่สอง ไม่ต้องคิดมากครับ เพราะสภาพการแข่งขันทางการตลาด ของเหล่าบรรดาตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ทำให้ต้องคิดหาแคมเปญมาล่อใจผู้ซื้อ สารพัดวิธี และที่เห็นบ่อยครั้งก็หนีไม่พ้นประกันภัยที่แนบมาด้วยโดยผู้ซื้อไม่ต้อง จ่ายค่าเบี้ยประกัน ส่วนแบบสุดท้ายที่เหมารวมเป็นล็อต มักจะเป็นในรูปแบบ ของการเจรจาตกลงกันระหว่างตัวแทนนายหน้ากับบริษัทที่มีรถหลายคัน หรืออาจจะเป็นบริษัทที่ประกอบการเกี่ยวกับการใช้รถหลายคัน
อาจจะเป็นบริษัทรับส่งสินค้าหรือบริษัทที่ประกอบการขนส่งต่างๆจุดสำคัญที่เราจะมาคุยกันคงเป็นเงื่อนไขแบบที่สาม
ที่เรามีความเป็นอิสระเต็มที่ ในการเลือกบริษัทประกันที่เรารู้สึกว่าคุ้มค่าและมั่นใจว่าเลือกไม่ผิด ทุกบาทควรจะต้องคุ้มค่า ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยความเสี่ยงที่เกี่ยวกับตัวคุณได้
เช่น อายุของคุณหรือรถที่คุณขับ แต่ก็มีหลายวิธีที่คุณน่าจะลองนำเอามาใช้เวลาที่จะซื้อประกันเพื่อประหยัดรายจ่ายเบี้ยประกันให้กับตัวคุณเอง
คุ้มครองมากกว่าหนึ่งหากคุณมีรถหลายคัน หรือว่าญาติพี่น้องที่มีรถอาจจะรวมทำประกันบริษัทเดียวกัน
เพื่อการต่อรองแบบทำประกันยกล็อต ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทประกัน สามารถที่จะให้ข้อเสนอพิเศษกับคุณได้บ้างไม่มากก็น้อย NCB No Claim Bonus ถ้าอยากจะลดค่าเบี้ยในปีถัดไป หมายความว่าคุณอาจจะต้องมีประวัติที่ไม่เคย
ขอเคลมประกัน ในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายผิด แต่หากเป็นความผิดของฝ่ายคู่กรณี
ก็เป็นคนละเรื่องกัน แต่หากคุณเป็นประเภทขับรถไม่แคร์ใคร
ชนก็ช่าง เดี๋ยวประกันก็จ่าย ถ้าในหนึ่ง
ปีคุณต้องเจอหน้ากับเจ้าหน้าที่ทำเรื่องเคลมบ่อยๆประวัติของคุณจะถูกบันทึกเอาไว้
และเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะถูกปฏิเสธไม่รับประกันในปีถัดไป
และประวัติของคุณก็จะถูกส่งไปเก็บเอาไว้ที่ศูนย์กลางข้อมูล เมื่อคุณไปขอทำกับบริษัทอื่น
ข้อมูลนั้นก็จะถูกเรียกมาดู เห็นประวัติการชนอัน โชกโชน คุณก็อาจจะถูกปฏิเสธไปเรื่อยๆ
หรือถ้าอยากจะทำจริงๆ ก็ต้องจ่ายแพง ขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นขับรถระวังชนไม่ต้องทนกับค่าประกันแพง หรือ อีกกรณีหนึ่งที่ความเสียหายไม่มากนัก
ที่คุณอาจจะเสียเพียงสองถึงสามพันบาท คุณอาจจะยอมจ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้ เอง อาจจะช่วยทำให้คุณประหยัดค่าเบี้ย
ประกันในปีถัดไปได้มากกว่าลองมาดูตัวเลข No Claim Bonus ที่ถือ เป็นส่วนลดหากคุณไม่มีประวัติการขอ เคลมประกัน
ซึ่งอาจจะทำให้คุณสนใจ อยากจะลองคิดถึงการประหยัดค่าเบี้ย ประกันในส่วนนี้บ้าง
Deductible ส่วนหักลด
ท่านทราบหรือไม่ว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้เอาประกันรถยนต์หนึ่งคนจะทำเรื่องเพื่อ
ขอเคลมประกันหนึ่งครั้งในทุกสามปี และหนึ่งครั้งที่เป็นอุบัติเหตุที่มีค่าความ เสียหายมากในทุกสิบปี
ใช่ครับ ไม่ผิดหรอกครับ หลายท่านคงอาจจะลองเปรียบเทียบกับประวัติของตนดูบ้าง บางท่านก็อาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่า
ก็คงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยตามที่กล่าวมาแล้ว แต่หาก ท่านมั่นใจว่าจะตั้งใจขับรถด้วยความไม่ประมาท แล้วท่านก็ไม่ต้อง
ใช้รถบ่อยนัก ไม่ต้องอยู่ในภาวะเสี่ยงในเวลาขับรถภาวะเสี่ยงที่ว่า ก็เช่น
บ้านอยู่ห่างกับที่ทำงาน ต้องขับรถไกล หรือต้องทำงานหนัก
เหนื่อยมากทุกวันตอนขับรถกลับบ้านแอบเผลอหลับตอนติดไฟแดง สิ่งเหล่านี้ ลองคิดถึงส่วนหักลดที่ผู้เอาประกันยอมจ่ายเองเวลา
ที่เกิดเหตุ ไม่ว่า
จะเป็น 2,000 บาท หรือ
5,000 บาท ที่จะช่วยลดค่าเบี้ยประกันลงไปได้มากทีเดียว
กำหนดผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เอาประกันไว้ อย่างแน่นอน
ความแตกต่างอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องการทำประกันรถยนต์ในเมืองไทย และที่ต่างประเทศ
ก็คือ ที่ต่างประเทศจะมี ทั้งการทำประกันรถและการทำประกัน ผู้ขับขี่ ซึ่งหมายถึงผู้เอาประกันสามารถไปขับรถคันไหนก็ได้
สัญญาการประกัน จะตาม
ไปรับผิดชอบให้ แต่สำหรับเมืองไทยที่เห็นจะเป็นการทำประกันรถยนต์
โดยตรง คือใครมาขับรถคันนี้ขอให้มีใบขับขี่ สัญญา การรับประกันก็จะรับผิดชอบ ให้ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันหากคุณจะลองถามบริษัทผู้รับประกันดูว่า
หากคุณ ต้องการจะกำหนดผู้ขับขี่สำหรับรถคันนี้ ก็จะสามารถช่วยคุณลดค่าเบี้ยประกันลงไปได้มากทีเดียว เมื่อได้ข้อคิดในการทำประกันที่น่าจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้
คราวนี้คงมาถึง คำแนะนำในการเลือกบริษัทประกัน ที่มีอยู่หลายบริษัทดูที่การให้บริการ อย่างที่เกริ่นกันเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า ผู้ซื้อประกันหลายคนที่ต้องผิดหวังอย่างแรง
เวลาที่ต้องเรียกใช้บริการหลังจากที่ประสบเหตุ รอเป็นวัน โทรไปเรียกกว่าจะมาปา เข้าไปสามชั่วโมง
มาถึงบางครั้งก็เหมือนกับอยู่ฝ่ายตรงข้ามไปซะเฉยๆ ทำไมจะมายกให้เราผิดซะอยู่เรื่อย ไม่เท่านั้น เวลาที่เจรจาเรื่องค่าซ่อม
ฝ่ายเจ้าของรถก็ อยากจะซ่อมให้ดีที่สุด ในขณะที่ฝ่ายบริษัทก็อยากจะจ่ายให้ถูกที่สุด จนบางครั้ง เจ้าของรถต้องยอมที่จะจ่ายส่วนต่างเอง
เพื่อให้จบเรื่องไป แล้วสาปส่งไม่ขอ ข้องเกี่ยวกับบริษัทประกันที่ว่านั้นอีก ถึงแม้ว่าจะมีข้อเสนอให้ส่วนลดในการซื้อประกัน
แต่ก็คงไม่สามารถซื้อใจเจ้าของรถผู้นั้นได้อีกต่อไปเพราะฉะนั้นหากจะเลือกซื้อประกันกับบริษัทใด ขอให้ดูและหาข้อมูลเรื่องการให้
บริการของบริษัทนั้นให้ละเอียด ถามผู้ที่เคยทำประกันกับบริษัทนั้นมาก่อนก็ได้ หรืออาจจะลองตรวจสอบดูเครื่องหมายรับประกัน
คุณภาพ ISO ก็อาจจะช่วยให้ เชื่อใจได้บ้างเช่นกันฐานะทางการเงินของบริษัท
อย่ายอมประนีประนอมระหว่างความสะดวก รวดเร็ว กับคุณภาพ
ที่อาจจะถูกตัดทอนออกไป โดยที่คุณมองไม่เห็น หลายครั้งเมื่อเกิดเหตุ บริษัทประกันมักจะมีอู่ซ่อมในเครือที่เจ้าของรถสามารถนำรถเข้าไปให้ซ่อมได้เลย
โดยไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายแต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านได้ลองตรวจสอบดูอู่ที่ว่านั้นให้ดีก่อนว่า
ไว้เนื้อเชื่อใจได้หรือเปล่า มิเช่นนั้น อาจจะต้องเสียใจในภายหลังได้ โดยเฉพาะท่านที่มีรถราคาแพง ซึ่งอาจจะโดนหลอกเอาอะไหล่ปลอมใส่เข้ามาโดยที่คุณเอง
ก็ไม่รู้ จนกระทั่งเจ้าอะไหล่ตัวนั้นเกิดเหตุทำพิษขึ้นในตอนหลังถึงแม้ว่าเราจะตั้งอกตั้งใจเลือกบริษัทประกัน
จนได้บริษัทที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ข้อแนะนำเวลาเกิดเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขอให้คุณจดรายละเอียดข้อมูลทั้งหมดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ทั้งทะเบียนรถ ชื่อของฝ่ายคู่กรณี หมายเลขใบขับขี่ พยานผู้รู้เห็น หากมีหรือจะถ่ายภาพเอาไว้ก็ยิ่งดี
ถ้าหากคุณมีกล้องติดตัวไปด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดที่เราๆ ท่านๆ ควรจะมีพกติดตัวและใช้มันอยู่ตลอดเวลา
ก็คือ ความไม่ประมาทในการขับรถ ขอให้โชคดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น