ในปัจจุบันธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่รับประกันในด้านความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้น และต้องจัดการกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องด้านชีวิต หรือทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้นการบริหารความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นด้วยการถ่ายโอนความเสี่ยง การหลีกเลี่ยง หรือ การรับความเสี่ยงนั้นไว้เอง ทางบริษัทประกันภัยนั้นจำเป็นที่จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งการประกันภัยนั้นก็มีหลากหลายประเภท ได้แก่ การประกันชีวิต การประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทร การประกันภัยทางทะเล การประกันภัย อัคคีภัย การประกันภัยรถ เป็นต้น
การประกันภัยแต่ละประเภทก็จะมีรายละเอียดและเงื่อนไขแตกต่างกันไป และ การประกันภัยรถ เป็นการประกันภัยที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด แบ่งออกเป็น การประกันภัยรถโดยข้อบังคับแห่งกฎหมาย และ การประกันภัยรถโดยความสมัครใจ ซึ่งกรมธรรม์ภาคสมัครใจนั้นมีรายละเอียดในการกำหนดความคุ้มครองมาก และยากต่อการกำหนดให้เหมาะสมเนื่องจากการกำหนดความคุ้มครองนั้นมีผลต่อค่าเบี้ยประกันภัย และค่าสินไหมทดแทน ดังนั้นหากบริษัทประกันภัยใดสามารถกำหนดความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยให้เหมาะสมได้ ผู้บริโภคก็จะได้ซื้อกรมธรรม์ในราคาที่เป็นธรรม และบริษัทประกันภัยก็จะได้อัตราเบี้ยประกันภัยที่เป็นไปตามสภาพความเสี่ยงภัยที่แท้จริงของธุรกิจมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันการกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ภาคสมัครใจนั้นจะกำหนดจาก เบี้ยฐานและความคุ้มครอง จากนั้นจะดูค่า Loss Ratio คือ สัดส่วนของค่าสินไหมทดแทนต่อค่าเบี้ยประกันภัย หากค่า Loss Ratio สูงแสดงว่ามีค่าสินไหมสูง ค่า Loss Ratio สามารถหาได้ดังนี้
[Loss Ratio = (ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นระหว่างปี / เบี้ยประกันภัยที่ถือเป้นรายได้ ) * 100]
การกำหนดค่าเบี้ยจะดูจากค่า Loss Ratio เป็นกลุ่มรถ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
รถบรรทุก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การกำหนดรายละเอียดความคุ้มครองนั้นพอทำได้แต่ไม่ดีนัก แต่ถ้าสามารถกำหนดรายละเอียดความคุ้มครอง ตาม Loss Ratio ของกลุ่มความเสียหายได้ก็จะทำให้การกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยนั้นเหมาะสมยิ่งขึ้น การกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยรถโดยความสมัครใจนั้นหากกำหนดความคุ้มครองสูง จะทำให้ได้ค่าเบี้ยประกันภัยสูงตามไปด้วย แต่ถ้าเพิ่มความคุ้มครองหรือเบี้ยฐานไม่ถูกส่วนก็จะทำให้ค่าสินไหมทดแทนสูงตามไปด้วย สรุปว่า ค่า Loss Ratio เท่าเดิม และหากกำหนดความคุ้มครองต่ำ ก็จะทำให้ได้ค่าเบี้ยประกันภัยต่ำเช่นกัน เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในตลาดได้ แต่ถ้าลดความคุ้มครองหรือเบี้ยฐานไม่ถูกส่วนก็ทำให้ค่าสินไหมทดแทนสูงเท่าเดิม สรุปว่า ค่า Loss Ratio สูงขึ้น แสดงว่าหากเราต้องการเพิ่มหรือลดค่าเบี้ยประกันภัย เราต้องคำนึงถึงการกำหนดเบี้ยฐานหรือความคุ้มครองให้เหมาะสม เพราะหากเรากำหนดไม่เหมาะสมแล้วจะทำให้ไม่สามารถ ลดค่า Loss Ratio ได้ซึ่งปัจจุบันการกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยนั้นผู้บริหารต้องดูค่า Loss Ratio เป็นกลุ่มรถ ซึ่งในการดูค่า Loss Ratio นั้นต้องใช้รายงานค่าเบี้ยประกันภัย และ รายงานค่าสินไหมทดแทน เพื่อช่วยในการพิจารณาด้วย เพื่อพิจารณากำหนดความคุ้มครองและเบี้ยฐาน และรถแต่ละกลุ่มนั้นมีรายละเอียดต่างกัน ทำให้การพิจารณานั้นใช้เวลานานและอาจไม่เหมาะสม และเมื่อกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยไปแล้วต้องตามดูค่า Loss Ratio อีกครั้ง เพื่อตรวจสอบว่าค่าเบี้ยประกันภัยที่กำหนดไว้นั้นมีค่า Loss Ratio สูงเกินไปหรือไม่ หากค่า Loss Ratio สูง ก็ต้องกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยใหม่อีกครั้ง ดังนั้นหากมีระบบสนับสนุนการตัดสินใจการกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยจะทำให้การพิจารณากำหนดความคุ้มครองนั้นสะดวกรวดเร็วขึ้นและมีความเหมาะสมที่มากขึ้น
ในปัจจุบันคนไทยมีความรู้ในเรื่องประกันภัยกันน้อยมาก เพราะคิดว่าเสียเงินโดยสูญเปล่าและคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำ อีกทั้งยังมีความรู้สึกในแง่ลบต่อธุรกิจประกันภัย แต่หากเราลองศึกษาการประกันภัยจริงๆ ก็จะพบว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจอีกช่องทางหนึ่งและเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในวันที่คุณไม่คาดคิดมาถึง ดังนั้นเราต้องศึกษาให้ดีทั้งในเรื่องตัวแทน บริษัท ประวัติ ภัย ค่าสินไหม ระยะเวลา และอีกหลายอย่างเป็นต้น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองและคนที่คุณรัก